สุขภาพคนทำงานกำลังเผชิญความเสี่ยงเงียบ! เมื่อ “ออฟฟิศซินโดรม” ไม่ใช่แค่เมื่อย แต่อาจนำไปสู่ “โรคกระดูกสันหลัง” ที่ต้องลงเอยด้วยการผ่าตัด

ในยุคที่วิถีชีวิตคนเมืองผูกพันกับการนั่งเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่การเดินทาง การทำงาน ไปจนถึงการพักผ่อน ทำให้ “ออฟฟิศซินโดรม” กลายเป็นอาการยอดฮิตที่หลายคนคุ้นเคย และมักมองข้ามด้วยความคิดว่า “แค่เมื่อย เดี๋ยวก็หาย” ในประเด็นนี้ นายแพทย์เมธี ภัคเวช แพทย์เฉพาะทางศัลยศาสตร์กระดูกสันหลัง ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง KLD โรงพยาบาลคามิลเลียน ผู้มีประสบการณ์ผ่าตัดผู้ป่วยด้วย เทคนิคส่องกล้อง มาแล้วกว่า 5,000 เคส และรักษาคนไข้ที่มีอาการปวดเรื้อรังมามากกว่า 20,000 เคส ได้เปิดเผยว่า เรื่องนี้กลับเป็น “สัญญาณเตือนภัยสำคัญ” ที่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอย่าง “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” ซึ่งหากปล่อยปละละเลย อาจถึงขั้นต้องเข้ารับ การผ่าตัดกระดูกสันหลัง

วงจรชีวิตติดเก้าอี้ “ต้นตอของอาการยอดฮิต”

นายแพทย์เมธี ภัคเวช ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะ ออฟฟิศซินโดรม ได้อย่างง่ายดาย โดยระบุว่า “หลายคนตื่นเช้ามา – นั่งรถไปทำงาน – นั่งทำงาน – นั่งประชุม – นั่งกินข้าว – นั่งตอบอีเมล์ – นั่งรถกลับบ้าน แล้วก็นั่งดูซีรีส์ “นั่งทั้งวัน เดินแค่ตอนเข้าห้องน้ำ” นี่ไม่ใช่คำเปรียบเปรย แต่มันคือชีวิตจริงของคนทำงานในเมือง

ยิ่งไปกว่านั้น “ท่านั่ง” ที่ผิดสุขลักษณะ เช่น ไหล่ห่อ, หลังค่อม, คอยื่น, จ้องมือถือจนคอแอ่น, การใช้เมาส์หรือพิมพ์คีย์บอร์ดในท่าเดิมนานๆ โดยไม่มีการพัก ถือเป็น “พฤติกรรมทำร้ายตัวเอง” ที่สะสมอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว จนร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือน

เช่น อาการ ปวดเมื่อย เป็นก้อนบริเวณ คอ บ่า ไหล่ หรือหลัง, อาการ ชาลามไปถึงปลายมือ คล้ายเลือดไม่เดิน, อาการ ปวดตึงบริเวณข้อมือ นิ้วมือ ขยับยาก, ตาแห้ง ปวดตา มึนหัวจากการจ้องหน้าจอนานเกินไป หรือแม้แต่ความเครียดที่ส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงตัว หากมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง อาจบ่งชี้ได้ว่าคุณกำลังเผชิญกับ ออฟฟิศซินโดรม โดยไม่รู้ตัว

หมอแนะรีบปรับก่อนสาย! พร้อมบอก แนวทางป้องกันและดูแลตนเอง

นายแพทย์เมธี เน้นย้ำว่าอาการเหล่านี้สามารถบรรเทาและป้องกันได้ หากรู้จักปรับพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่นๆ โดยแนะนำแนวทางปฏิบัติง่ายๆ ดังนี้

  1. นั่งให้ถูกต้อง หลังตรง ชิดพนักพิง เท้าราบกับพื้น
  2. ตั้งจอคอมพิวเตอร์ให้พอดีตาไม่ต้องก้มหรือเงย
  3. ลุกทุก 1 ชั่วโมง – ยืดเส้นยืดสาย เดินบ้าง เพื่อให้ร่างกายได้ขยับ
  4. พักสายตาทุก 20 นาที – มองไกลๆ หรือเปลี่ยนจุดโฟกัส
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งเปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

 เมื่อ “ออฟฟิศซินโดรม” ลุกลามสู่ “หมอนรองกระดูกทับเส้น”

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ออฟฟิศซินโดรม เป็นเพียงอาการเมื่อยล้าที่สามารถบรรเทาได้ด้วยการนวดหรือกายภาพบำบัด แต่แท้จริงแล้ว หากปล่อยให้อาการสะสมโดยไม่มีการจัดการที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น อาการเหล่านี้สามารถพัฒนาไปสู่โรคร้ายแรงขึ้นได้ โดยเฉพาะ “โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท”

นายแพทย์เมธี อธิบายถึงความเชื่อมโยงว่า “เมื่อคุณนั่งผิดท่าซ้ำๆ กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง กระดูกสันหลัง ก็ต้องรับภาระมากขึ้น โดยเฉพาะ กระดูกสันหลังส่วนเอว ซึ่งเป็นจุดที่รับน้ำหนักตัวแทบตลอดเวลา เมื่อแรงกดทับไม่สมดุลนานวันเข้า หมอนรองกระดูก ที่อยู่ระหว่างข้อกระดูก ก็จะเริ่มเสื่อม แตก หรือเคลื่อนออกจากตำแหน่งจนไปกดเบียด เส้นประสาท ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของขา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของอาการ ปวดร้าวลงขา ชา หรือเดินลำบาก จาก “ออฟฟิศซินโดรม” ที่แค่เมื่อยๆ กลายเป็น “โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น” ที่อาจต้องรักษาด้วย การผ่าตัด”

รู้ทันสัญญาณเตือน “โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท”

ทั้งนี้นายแพทย์เมธี แนะนำให้สังเกตอาการที่บ่งชี้ว่าอาจเข้าสู่ระยะของ โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แล้ว ได้แก่

  1. ปวดหลังลามลงขาหรือปวดเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
  2. ขาชาเป็นแนวตั้งแต่สะโพกลงไปน่อง หรือปลายเท้า
  3. อาการปวดหลัง รุนแรงขึ้นเมื่อไอ จาม หรือเบ่งถ่าย
  4. เดินไกลไม่ได้ขาอ่อนแรง หรือยืนทรงตัวไม่ได้นาน
  5. มีอาการปวดร้าวลงขา ชัดเจนเมื่อนั่งรถ ต้องเปลี่ยนท่าบ่อยๆ

หากเริ่มมีอาการเหล่านี้ นายแพทย์เมธีแนะนำให้ รีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางกระดูกสันหลัง โดยเร็วที่สุด เพื่อประเมินแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เพราะหากปล่อยไว้นาน เส้นประสาท อาจถูกกดทับมากขึ้น จนนำไปสู่ ภาวะขาอ่อนแรงถาวร ซึ่งแม้จะได้รับการผ่าตัดแล้ว ก็อาจไม่สามารถฟื้นตัวได้ 100%

ผ่าตัดส่องกล้อง ทางออกที่ “เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว”

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเกินกว่าจะบรรเทาได้ด้วยการปรับพฤติกรรมหรือกายภาพบำบัด การผ่าตัดถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทันสมัยขึ้นมากในปัจจุบัน โดยนายแพทย์เมธี ภัคเวช ใช้เทคนิค “Endoscopic Spine Surgery” หรือ การผ่าตัดส่องกล้องกระดูกสันหลัง ซึ่งมีข้อดีเด่นชัดคือ แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียงประมาณ 8 มิลลิเมตร (0.8 เซนติเมตร) ช่วยให้สามารถเข้าถึงและรักษาเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้คนไข้ เจ็บน้อย ลง เนื่องจากไม่จำเป็นต้องผ่าเปิดแผลใหญ่, เสียเลือดน้อยฟื้นตัวไว และไม่ต้องนอนโรงพยาบาลนาน หลายรายสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติในวันรุ่งขึ้น

“หลายคนที่มาปรึกษาผม มักจะพูดประโยคคลาสสิกว่า “หมอครับ ผมกลัวการผ่าตัด” ผมเข้าใจครับ… แต่ก็อยากให้ทุกคนได้รู้ว่า “การผ่าหลัง” ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดอีกต่อไป ถ้าผ่าตรงจุด ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม และอยู่ในมือของผู้ที่มีประสบการณ์จริง” นายแพทย์เมธีกล่าวทิ้งท้าย

บทสรุปสำคัญคือ “ออฟฟิศซินโดรม” ไม่ใช่แค่ความเมื่อยล้าธรรมดา แต่คือเสียงจากร่างกายที่กำลังร้องเตือนว่า “พอแล้วนะ!” การตระหนักถึงความสำคัญของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่น ๆ และ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อมีสัญญาณเตือน จะช่วยให้หลีกเลี่ยงความรุนแรงของโรค และนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว  

โดยหากท่านใดมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการหรือต้องการ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางศัลยศาสตร์กระดูกสันหลัง ติดต่อ นายแพทย์เมธี ภัคเวช ได้ที่ ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง KLD โรงพยาบาลคามิลเลียน เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม หรือติดตามสาระความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับโรคกระดูกสันหลังได้ที่ Facebook Fanpage “ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง KLD – ข้อหลังดี” และ “หมอเมธีมีคำตอบ” นพ.เมธีพร้อมให้คำปรึกษา

Post Views49 Views
Share this post