“โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากภาวะความเสื่อมของเซลล์สมอง ผู้สูงอายุที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปก็สามารถที่จะเป็นโรคนี้ได้ถึง 20% – 30%”
สัญญาณเตือน…หรือเช็คลิสต์ที่เราต้องระวังตัวว่าเราหรือคนในครอบครัวจะมีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือเปล่า คืออาการความจำที่ลดลง ถามซ้ำ วางของผิดที่ คิดเลขไม่ถูก นึกคำพูดไม่ถูก พูดไม่ออก หลงทิศหลงทาง กะระยะผิด อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย การนอนหลับที่เปลี่ยนไป นอนหลับน้อยลง วันเว้นวัน หรือหลับมากกว่าปกติ สุดท้ายแล้วสัญญาณเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ต้องมาพบแพทย์
พญ. ลลิตพรรณ สุดประเสริฐ อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและสมอง โรงพยาบาลพญาไทนวมินทร์ กล่าวถึงโรคอัลไซเมอร์ว่า โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer Disease) หรือ โรคความจำเสื่อม แตกต่างจากโรคหลงลืมที่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป เช่น ลืมสิ่งของ หรือ สถานที่ แต่สำหรับอัลไซเมอร์ต้องมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมากนั้นโรคอัลไซเมอร์เกิดจากความเสื่อมของเซลล์สมองและจะพบมากในวัย 65 ปีขึ้นไป โดยเฉลี่ยประมาณ 10%-15% แต่คนที่อายุน้อยที่มียีนหรือพันธุกรรมที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ก็มีโอกาสที่จะพบได้เช่นกัน โดยพบว่าในทุกๆ 5 ปีจะพบอัตราเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้น 2 เท่า และผู้สูงอายุที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปก็สามารถที่จะเป็นโรคนี้ได้ถึง 20%-30%
“ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ตัวเองอาจจะไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ แต่คนรอบข้างอย่างญาติจะมองเห็นพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น การถามซ้ำในเรื่องเดิม จนทำให้สงสัย และอาจจะมีหงุดหงิดบ่อย นอนไม่หลับ ซึม ซึ่งหากพบปัจจัยเหล่านี้ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนให้คนไข้ หรือผู้ดูแลใกล้ชิดเข้ามาพบแพทย์”
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer Disease)
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ “ปัจจัยที่ไม่สามารถป้องกันได้” คือ อายุที่เพิ่มขึ้น ,พันธุกรรม โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคความจำเสื่อม การกลายพันธ์ของยีนApolipoprotein E (Apo E), Amyloid-beta Precursor Protein (APP), Presenilin 1 (PSEN1) และ Presenilin 2 (PSEN2) และ Down’s syndrome จะทำให้ปรากฏอาการของโรคอัลไซเมอร์เร็วกว่าคนปกติ เพศ พบว่าเพศหญิงมีความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์มากกว่าเพศชายเล็กน้อย
“ปัจจัยที่ป้องกันได้” คือ โรคที่ก่อให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ เช่น หลอดเลือดสมองต่างๆ ซึ่งเราสามารถป้องกันปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ เช่น การป้องกันโลหิตสูง ความดันสูง เบาหวาน ควบคุม หมั่นตรวจสุขภาพ เช็คร่างกาย เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นหลอดเลือดสมองที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ นอกนั้นก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา สารเสพพติดหนักๆ หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนทางสมอง
วิธีป้องกัน โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer Disease)
วิธีการบริหารสมองเป็นวิธีการหลักป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ ก็เหมือนร่างกายของเราที่ต้องออกกำลังกาย สมองเองก็ต้องการออกกำลังกายด้วยเช่นกัน แต่ต้องไม่หนักและเครียดจนเกินไป เพราะจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ อาจจะออกกำลังกายสมองเบาๆ เช่น การฟังเพลง เต้นรำ เล่นเกม งานฝีมือ พบปะสังสรรค์ เหล่านี้ช่วยพัฒนาสมองของเราให้ทำงานตลอดเวลาและป้องกันโรคฯ ได้
“สังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมผู้สูงอายุไปแล้ว สถิติของโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นมากในปี 2562 มีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ 1 แสนคนต่อปี และสถิติทั่วโลกจากสหรัฐฯ เก็บข้อมูลไว้มีมากถึง 57 ล้านคนทั่วโลก โดยมากสถิติที่เก็บรวบรวมกันมาจะมีอัตราเพิ่มขึ้น 2 เท่าในทุกปี ซึ่งเป็นโรคที่น่ากลัว แต่สามารถป้องกันได้หากมาพบแพทย์โดยเร็ว”
“รักษา” และ “ดูแล” ผู้ป่วยอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข
ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่พบว่ามียาที่รักษาหายขาดได้ โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การใช้ยาลดอาการและลดการถดถอยความเสื่อมของสมองเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด และการรักษาที่ไม่ใช้ยาซึ่งเป็นการรักษาแบบองค์รวมร่วมกับแพทย์ ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ให้กับคนไข้และผู้ดูแล การพัฒนาทางร่างกายและจิตใจ การพัฒนาการเข้าสังคม การฟื้นฟูทางกายภาพบำบัดและจิตบำบัด เข้ากลุ่มทำกิจกรรมกลุ่มเพื่อรักษาหรือ maintenance ตัวสมองเพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์
การดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ต้องให้ความเข้าใจ เห็นใจว่าผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจที่จะก้าวร้าว หงุดหงิดอย่างที่เราเห็น แต่เป็นจากตัวโรคเอง ไม่ควรทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่มั่นใจ อาย หรือหงุดหงิด
“คนในครอบครัวที่ต้องดูแลคนไข้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นกำลังสำคัญ อย่างแรกคือ ต้องเข้าใจตัวโรคก่อนว่าตัวโรคจะดำเนินการไปอย่างไร จะมีความเสื่อมถอยของตัวโรคไปเรื่อยๆ และคนไข้อาจจะมีภาวะติดเตียงได้ การที่ครอบครัวเข้าใจและเอาใจใส่ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของคนไข้ โดยการเข้าใจถึงอารมรณ์ที่เปลี่ยนไป การนอนหลับที่เปลี่ยนไป ความจำที่เปลี่ยนไป หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ถือเป็นการรักษาคนไข้อย่างมีคุณภาพทำให้มีชีวิตที่ดีมีความสุข”
