นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เผยภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน มีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 326,588 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.87 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปี 2567 จำแนกเป็นเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) 94,916 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.38และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) 231,672 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.88และมีอัตราความคงอยู่ร้อยละ 82
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย
- เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) 62,938 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.32
- เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) 31,978 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.77
จำแนกเบี้ยประกันภัยรับรวมแยกตามช่องทางการจำหน่าย ดังนี้
- การขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต (Agency) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 163,482 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.12 เมื่อเทียบกับปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50.06
- การขายผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 127,971 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.46 เมื่อเทียบกับปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.18
- การขายผ่านช่องทางนายหน้าประกันชีวิต (Broker) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 18,987 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.60 เมื่อเทียบกับปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.81
- การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ (Tele Marketing) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 6,394 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.99 เมื่อเทียบกับปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.96
- การขายผ่านช่องทางดิจิทัล( Digital) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 750 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.21 เมื่อเทียบกับปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.23
- การขายผ่านช่องทางอื่น (Others) เช่น การขาย Worksite , Walkin การขายผ่านการออกบูธ
การขายผ่านร้านค้าสะดวกซื้อ เป็นต้น เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.69 เมื่อเทียบกับปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.76
สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมและมีอัตราการเติบโตมากขึ้นในช่วงครึ่งแรก ปี 68 คือ สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 61,219.52 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.99 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.75 ซึ่งหลัก ๆ มาจากการที่ประชาชนใส่ใจดูแลสุขภาพและเริ่มตระหนักถึงความสำคัญ ในการทำประกันสุขภาพมากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยงและรับมือกับค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (Medical Inflation) ในขณะที่ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 6,241.62 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.51 หรือ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.91 นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Investment Link) ก็มีเบี้ยประกันภัยรับรวมถึง 19,412.36 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.54 หรือ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.94 เนื่องจากนักลงทุนมองหาช่องทางการลงทุนใหม่ ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นภายใต้ระดับความเสี่ยงที่พอรับได้ รวมถึงได้รับความคุ้มครองจากการประกันชีวิตรวมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ การเติบโตของภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งปีแรกนั้นยังคงสอดคล้องกับการประมาณการของสมาคมประกันชีวิตไทยเมื่อช่วงต้นปี ที่คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจจะอยู่ในช่วงร้อยละ 2 – 3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากหลายปัจจัยสำคัญ อาทิ การที่ประชาชนให้ความสำคัญกับผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) และค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นกว่า 15% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับการขยายอายุการรับประกันสุขภาพไปถึง 80 ปี ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ด้านประกันสุขภาพมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีผลขยายไปถึงการประกันชีวิตอื่น ๆ โดยเฉพาะประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) ที่เป็นสัญญาหลักด้วย อีกทั้งประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged Society) อย่างเต็มตัวก็ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะการออมเพื่อวัยเกษียณผ่านประกันชีวิตแบบบำนาญ ซึ่งเป็นการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ได้รับทั้งความคุ้มครองชีวิต และยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีตามมาตรการของภาครัฐอีกด้วย นอกจากนี้ในภาวะที่เศรฐกิจโลก และการลงทุนมีความผันผวน นักลงทุนส่วนหนึ่งได้มองหาช่องทางการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นและปลอดภัย ประกันชีวิตควบการลงทุนจึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังคงเดินหน้ายกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น Big Data, AI และ Data Analytics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มความแม่นยำในกระบวนการต่าง ๆ อาทิ การเสนอขายการพิจารณารับประกันภัย การพิจารณาสินไหม ตลอดจนการให้บริการหลังการขาย การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคให้แม่นยำมากขึ้น เพื่อยกระดับประสบการณ์และความพึงพอใจของประชาชนในทุกมิติ
แต่ในขณะเดียวกันธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามแนวโน้มและความผันผวนของสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญอย่าง อัตราดอกเบี้ย และ ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมการออม การลงทุน รวมถึงภาระหนี้สินของภาคครัวเรือน ที่มีผลต่อความสามารถการใช้จ่ายและการวางแผนทางการเงินของประชาชน นอกจากนี้ ยังต้องจับตาสถานการณ์ ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ยังคงมีความตึงเครียดในหลายภูมิภาค รวมทั้งปัญหาชายแดนประเทศไทย และการดำเนินมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ นำไปสู่ภาวะสงครามการค้า สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน ระดับเงินเฟ้อ จนทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
อีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม คือ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มลภาวะต่างๆ และการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมแต่ยังส่งผลต่อความต้องการ ความเชื่อมั่น และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตโดยตรง
นอกจากปัจจัยภายนอกเหล่านี้แล้ว ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้าน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS 17 ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ส่งผลต่อวิธีการรับรู้รายได้ การประเมินความเสี่ยงของกรมธรรม์ และการเปิดเผยข้อมูลทางบัญชีที่โปร่งใสยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทประกันชีวิตจำเป็นต้องลงทุนและบริหารจัดการต้นทุนในการปรับเปลี่ยนระบบภายในให้สามารถรองรับมาตรฐานดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รวมไปถึงการพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันต้องมีการส่งเสริมความเข้าใจในเรื่องการวางแผนชีวิตและการบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจประกันชีวิตสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สมาคมประกันชีวิตไทยจึงเดินหน้าผนวกแนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) เข้ากับกระบวนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านการพิจารณาการลงทุน การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในยุคปัจจุบัน การดำเนินงานดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การคำนึงถึงบทบาทของธุรกิจต่อสังคม ตลอดจนการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการกำกับดูแลกิจการ เพื่อให้ภาคธุรกิจประกันชีวิตไม่เพียงแต่สามารถปรับตัวรับมือความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างคุณค่าให้กับสังคมในวงกว้างเพื่อขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวในตอนท้าย
