ในโลกที่เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คนจำนวนไม่น้อยใช้เวลาอยู่หน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมงต่อวันโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่สายตาล้า แต่เป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ คืบคลาน แค่เริ่มจาก “อาการปวดคอ” แต่อาจกลายเป็น “ภาวะอัมพาต” โดยไม่ทันตั้งตัว!!
นพ.เมธี ภัคเวช แพทย์เฉพาะทางศัลยศาสตร์กระดูกสันหลัง ประสบการณ์รักษาคนไข้ที่มีอาการปวดเรื้อรังมามากกว่า 20,000 เคส และล่าสุดได้รับเชิญเป็นวิทยากรในการประชุมทางการแพทย์ระดับนานาชาติที่อุซเบกิสถาน หัวข้อเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ เปิดเผยถึงข้อมูลที่น่าสนใจในยุคนี้ว่า ทุกครั้งที่เราก้มหน้ามองจอมือถือ แรงกดบนหมอนรองกระดูกคอจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ยิ่งก้มมาก ยิ่งกดมาก โดยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า การก้มศีรษะเพียง 30 องศา อาจเพิ่มแรงกดบนหมอนรองกระดูกถึง 18 กิโลกรัม และหากก้มถึง 60 องศา แรงกดนั้นอาจพุ่งสูงขึ้นถึง 27 กิโลกรัม
ภาวะนี้เรียกว่า Text Neck Syndrome หรือ “คอเสื่อมจากพฤติกรรมก้มหน้าซ้ำซาก” ซึ่งในระยะยาว หมอนรองกระดูกที่เสื่อมจะเริ่มยื่นโป่งออก ร่างกายพยายามซ่อมแซมโดยสร้างหินปูนมาพยุงโครงสร้าง แต่เมื่อหินปูนหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายเป็นตัวการที่ไปกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลังโดยตรง หากกดทับบริเวณโพรงเส้นประสาทด้านข้าง ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ “ชาร้าวลงแขน” แต่หากเกิดแรงกดที่ไขสันหลังส่วนกลาง นั่นหมายถึง “ภาวะอ่อนแรง” ซึ่งถือเป็น ภาวะฉุกเฉินทางระบบประสาท ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจส่งผลให้มีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อน และกระดูกสันหลังเสื่อมสภาพในอนาคต
สัญญาณเตือนล่วงหน้า ที่ไม่ควรปล่อยผ่าน
หลายคนอาจสับสนระหว่างอาการชาจากเบาหวานหรือปลายประสาทอักเสบกับภาวะนี้ ความแตกต่างคือ หากเป็นปัญหาจากหมอนรองกระดูกคอกดทับไขสันหลัง อาการชาจะกระจายทั้งแขนและมือพร้อมกัน โดยไม่แยกเส้นชัดเจน ซึ่งจำเป็นต้องวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น โดยอาการเบื้องต้นของ Text Neck Syndrome ที่ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนสำคัญมีดังนี้
- มือสองข้างเริ่มชา เดินแล้วรู้สึกทรงตัวไม่มั่นคง
- ลักษณะการเดินเปลี่ยนไป เดินกางขาเพื่อพยุงตัว
- ลายมือเปลี่ยน เขียนหนังสือหรือใช้ตะเกียบลำบาก
- ติดกระดุมไม่ได้ หรือแขนขาเริ่มไม่สัมพันธ์กัน
ควรดูแลตนเองอย่างไรในยุคจ้องจอไม่เว้นวัน ?
- หมั่นลุกเปลี่ยนอริยาบถทุก 30-60 นาที
- ปรับจอให้อยู่ในระดับสายตา
- หลีกเลี่ยงการก้มคอนาน ๆ โดยไม่พัก
- หากมีอาการปวดคอเรื้อรังหรือชาร้าวลงแขนควรรีบพบแพทย์เฉพาะทาง
แนวทางการรักษาเริ่มที่เบา…ก่อนถึงการผ่าตัด
สำหรับผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการอ่อนแรง การรักษาจะเริ่มจากการใช้ยา ร่วมกับกายภาพบำบัดและการปรับพฤติกรรมเพื่อลดแรงกดบริเวณกระดูกสันหลัง แต่หากเริ่มมีอาการอ่อนแรงแม้เพียงเล็กน้อย การผ่าตัดถือเป็นทางเลือกที่จำเป็น เพราะหากไขสันหลังถูกกดทับนานเกินไป อาจฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดผ่านกล้อง (Endoscopic Spine Surgery) ซึ่งช่วยลดขนาดบาดแผลให้เล็กเพียงประมาณ 8 มิลลิเมตร โดยสามารถเจียร์กระดูกหรือหินปูนออกเฉพาะจุดที่กดทับเส้นประสาทได้อย่างแม่นยำ ผู้ป่วยสามารถพักฟื้นในโรงพยาบาลเพียง 1 คืน และหากไม่มีภาวะอ่อนแรงเพิ่มเติม ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็ว โดยสวมเฝือกคอเพื่อพยุงประมาณ 1 เดือน
อย่างไรก็ตามการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาและหากเกิดอาการแล้ว อย่ารอให้สายเกินไป หากคุณรู้สึก “ชาแขน เดินเซ หรือขยับตัวยาก” อย่าเพิกเฉยต่อสัญญาณของร่างกาย เพราะ “คอเสื่อม” ที่ถูกละเลย อาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล และสำหรับใครที่ กำลังประสบปัญหาเรื่องนี้ นพ.เมธี ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า สามารถทักทายมาปรึกษาได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ : “หมอเมธีมีคำตอบ” ได้ตลอดเวลา
